Once upon a #LazyCoup time in Bromo

Once upon a #LazyCoup time in Bromo

โบรโม ดินแดนแห่งลมหายใจเทพเจ้า ชื่อที่เล่นใหญ่ และคนมาต้องใจถึง เพราะภูเขาไฟลูกนี้เป็นยักษ์หลับที่ยังดับไม่สนิท โดยเราสามารถไปเดินบนปากปล่องภูเขาไฟได้ ซึ่งบนปากปล่องก็จะเห็นควันและได้ยินเสียงคำรามที่ดูทรงพลัง (และน่ากลัว) บอกเลยว่าต้องขึ้นไปดู ไม่งั้นพลาดมากก

ครั้งนี้เราวางแพลนเที่ยวเน้นๆ ที่โบรโม่อย่างดียว ใช้เวลาทั้งสิ้น 4 วัน 3 คืน เพราะการถ่ายรูปที่โบรโม่ต้องอาศัยดวง ต้องลุ้นสภาพอากาศ บางวันมีหมอกเยอะจนบังวิวไปหมด บางวันไม่มีหมอกเลยแม้แต่นิดเดียว เราจึงตัดสินใจใช้เวลาเพื่อเก็บความทรงจำที่นี่โดยเฉพาะ ตอนเช้าขึ้นจุดชมวิว Penanjakan เป็นอะไรที่สวยงามประทับใจ และคนเยอะจนโลกลืม ในชีวิต เพิ่งเคยเห็นแสงเช้าที่งดงามที่สุดก็วันนี้ นี่แหละ

ทริปนี้จึงเป็นทริปที่เราสองคน Lazy Coup ได้จูงมือกันไปเที่ยวต่างประเทศทริปแรก ไม่ได้เป็นทริปหวานๆ อย่างใครเค้า แต่ก็บอกเลยว่า น่าจูงมือแฟนเที่ยวที่นี่มาก ครั้งหนึ่งที่พามาลำบากด้วยกัน แต่ตื่นเต้นทุกครั้งที่นึกถึง #lazycoup #แท็คแฟนพาไปลำบากหน่อย
ปล.รายละเอียดการเดินทางอยู่ในรูปนะคะ

สำหรับการเดินทางในครั้งนี้ เราสองคนเดินทางกันในวันที่ 20-24 ก.ค. 2017 ที่ผ่านมา โดยเที่ยวบินจากเมืองไทยไปโบรโม่ .. “ไม่มีบินตรง” .. ก็แล้วแต่เลยว่าสายการบินที่เลือกนั้นจะมีแวะจอดที่ไหนยังไงบ้าง โดยเราเลือกสายการบินแอร์เอเชีย
ขาไป ::
1.ดอนเมือง (20.55) -> จาการ์ตา (00.25)
2.จาการ์ตา(5.45) -> สุราบายา(7.15)
ขากลับ ::
1.สุราบายา(12.25) -> กัวลาลัมเปอร์(16.05)
2.กัวลาลัมเปอร์(20.40) -> ดอนเมือง(22.00)
และราคาตั๋วรวมๆ แล้วเราได้มาค่อนข้างสูง = 10,000/คน หากเพื่อนๆ ลองหาหน่อย อาจจะได้ราคาถูกกว่านี้นะคะ

จากตารางที่แพลนกันไว้ ทำให้วันแรกที่เราเดินทางก็มาถึงสุราบายาตั้งแต่เช้าตรู่
เราก็ทำการแต่งหน้าแต่งตัวที่สนามบินสักพัก เพื่อรอไกด์ของเรามารับ
โดยค่าไกด์+ค่ารถตู้รับส่งสนามบิน+ค่ารถจี๊บตลอดทริป (4วัน 3 คืน) รวมแล้วราคา 5000/คน

ระหว่างทางก็ขอบันทึกภาพผู้คนอินโดกันสักหน่อย

ในการเดินทางด้วยรถตู้ไปจนถึงโรงแรม Bromo Permai บอกเลยว่าเหมือนการนั่งรถไปภูทับเบิกมากๆ เพราะผ่านโค้ง หลายโค้ง แต่ระยะทางยาวนานกว่าเยอะ และคนขับก็ขับเร็วใช้ได้มากๆ ต้องลองไปพิสูจน์ความหวาดเสียวกัน

google map : โรงแรม Bromo Permai
https://goo.gl/maps/wmxjr5KWX1y

และนี่คือห้องพักของเราที่จะทำการฝากร่างไว้ที่นี่ โดยราคาจะอยู่ที่ห้องละ 2500 บาท/คน (ห้องนึงนอนได้ 3 คนนะ)

หลังจากเข้าโรงแรมเรียบร้อย ก็แอบเดินเซอร์เวย์รอบโรงแรมว่าจะไปเที่ยวหรือถ่ายภาพที่ไหนดี แต่หมอกเยอะมากจนไม่เห็นอะไร เราจึงตัดสินใจพักผ่อนแล้วตื่นตั้งแต่ตี 2 เพื่อออกถ่ายภาพดาว ตรงจุดชมวิว Penanjakan

Google map : Penanjakan
https://goo.gl/maps/v9XQTG9U4BM2

ในตอนเช้ามืดหนาวมาก อุณหภูมิประมาณ 7-10 ต้นๆ และมีลมค่อนข้างเยอะ ดังนั้นอย่าลืมพวกหมวก ผ้าพันคอ ถุงมือมาเด็ดขาดเลยนะ
แต่ต้องระวังเพราะพอช่วงสายๆ บ่ายๆ ก็จะร้อนขึ้น ไปอยู่ที่ 15-20 องศาได้ เสื้อผ้าต้องแต่งตัวพร้อมที่จะถอดจะใส่เพิ่มได้พอควร

เรายืนรอตั้งแต่ตี 3 จนถึงแสงเช้าสาดส่องเข้ามา เราเริ่มเห็นสายหมอกและรายละเอียดของธรรมชาติที่หลบซ่อนอยู่

ที่นี้เรามาทายกันสิว่า โบรโม่คือภูเขาไฟลูกไหน
1.ภูเขาไฟที่เป็นแอ่งกระทะแล้วมีควันฟุ้งๆ คือ “โบรโม่”
2.ภูเขาไฟหน้าสุดที่สวยๆ ชื่อ Batok และ
3.หลังสุดสูงสุด คือ Sumeru

โบรโม่หน้าตาแบบนี้นี่เอง นางสูงจากระดับน้ำทะเล ประมาณ 2300 เมตร

จากจุดชมวิวเดิม หากเรากวาดสายตามทางด้านซ้าย เราจะเห็นหมู่บ้านที่เหมือนเป็นผาบรรจุหมอกไว้ หมู่บ้านนี้ชื่อ Cemoro Lawang (โรงแรม Bromo Permai ที่เราพักอยู่ตรงนี้เองจ้า)

มาดูหมู่บ้าน Cemoro Lawang ที่ถูกโอบล้อมไว้ด้วยหมอกกันแบบจุใจ

ขอบคุณธรรมชาติที่มีหมอกสวยงามมาให้เราชมขนาดนี้ ทริปนี้โดยความเห็นส่วนตัว หนูโหวตจุดชมวิว Penanjakan ว่าสวยที่สุดเลย

ที่นี่สามารถเอาโดรนมาบินได้ด้วยนะฮะ

อากาศหนาวๆ เจอวิวสวยๆ กอดอุ่นๆ จากตัวนิ่มของคนรัก

นั่งชิวดูวิวสวยๆแบบนี้ จนหมอกค่อยๆ หายไป

หลังจากนั้นเราก็ไปลุยกันด้วยรถจี๊บ จะบอกว่ารถที่นี่สีสวย และเจ้าของรถเค้ารักมาก

เราสามารถบอกไกด์/คนขับได้เลย ว่าอยากถ่ายรูปคู่กับรถจี๊บ แต่เวลาปีนขึ้นรถระวังด้วยน้า เจ้าของรถบอกว่าทำสีมาแพง และบอกเลยว่าสามารถนั่งเหยียบตรงไหนได้ไม่ได้ฮ่ะ

แล้วไปลุยกันต่อที่ทุ่งสะวันนา

มันเป็นความสวยงามที่แปลกตา ระหว่างทุ่งหญ้าสีขาว ไปจนถึง ทุ่งหญ้าแซมม่วง หากใครอยากเช่าม้าถ่ายรูปก็มีให้บริกา

ในเช้าวันถัดมาเราก็ตั้งใจขึ้นไปปากปล่องภูเขาไฟโบรโม่กัน โดยสารด้วยรถจี๊บสุดเท่เหมือนเคย

มาถึงบริเวณที่จอดรถ เราจะเจอม้าและคนสูงที่มีหน้าตา คาแร็กเตอร์แตกต่างกันไป เราเลือกได้เต็มที่เลยจ้า

หากเราเจอที่ถูกใจ ก็สามารถเช่าแล้วขี่ม้าขึ้นเขาได้เลย

โดยนี่คือม้าที่เราสองคนเลือก โดยหนูขึ้นตั้งแต่ต้นทางราคา 125000 IDR และพี่คิมขึ้นช่วงก่อนขึ้นเขา ราคา 50000 IDR

ถามว่าควรเช่าม้ามั้ย ตอบเลยว่าควร เพราะว่าเป็นการขี่ม้าขึ้นเขาในช่วงท้าย จะลดแรงกายไปเยอะมาก แต่ระวังตกนะ จับแน่นๆไว้ (และที่นี่ฝุ่นเยอะมากควรต้องหาผ้าปิดจมูก และแว่นตาเตรียมไว้น้า)

เมื่อขึ้นมาถึงจุดที่จอดม้า เราก็แว๊บถ่ายรูปกันสักพัก

หากใครอยากนั่งทานน้ำส้ม หรือมาม่าเติมพลังก็จัดไปได้เลยจ้า

และที่สำคัญอย่าลืมซื้อดอกไม้ไปสักการะ อธิษฐานกันด้วยน้า (คนขายพูดไทยเลย ว่าดอกไม้ๆ )

มุมถ่ายรูปสวยเยอะมาก ลองครีเอทกันได้เลย

เอาล่ะ นี่คือปราการด่านสุดท้ายที่เราจะต้องเดินขึ้นไปชมปากปล่องภูเขาไฟกัน

ตอนที่ไปเจอพี่ๆ ทหารอินโดมา treking และโดดร่มด้วย เท่มาก

พอเราขึ้นไปปากปล่อง ก็ต้องทำการโยนดอกไม้เพื่อสักการะภูเขาไฟโบรโม่ โยนลงไปกลางปากปล่องเลยจ้า

ยักษ์หลับที่ยังดับไม่สนิท ส่งเสียงร้อง ฮึ่มๆ ทักทายเราตลอดเวลา

หลังจากถ่ายรูปตรงจุดนี้จนเต็มอิ่ม เราก็ตัดสินใจมูฟไปเก็บแสงเย็นและดวงดาวกันอีกจุดนึง

เฝ้ารอการเปลี่ยนสีของท้องฟ้า

ทางช้างเผือกเริ่มเคลื่อนตัว

milky way ที่เห็นชัดด้วยตาเปล่า

ขอบคุณที่มาแชร์จักรวาล ให้กันและกันนะคะ

และสำหรับเช้าสุดท้าย เราไม่ได้ไหนไกล ตื่นมาตรงจุดชมวิวแถวโรงแรม

วันนี้ไม่มีหมอกแต่ว่าก็สวยไปอีกแบบนึง เพราะมันทำให้เราเห็นรายละเอียดของพื้นผิวต่างๆ ได้อย่างชัดเจน <3

ความรู้สึกของหนู… ขอบคุณนะที่พี่คิมพาหนูมาทริปนี้ ทั้งๆที่ปกติหนูไม่ชอบถ่ายดาว ไม่ชอบนอนน้อย ไม่ชอบอากาศหนาว ไม่ทานเนื้อวัว ต้องกินแต่มาม่า ขอบคุณที่พามาลำบากด้วยกัน ขอบคุณที่จูงมือมาเจออะไรที่สวยงามที่สุดในความทรงจำและตื่นเต้นทุกครั้งที่นึกถึง

ภาพรวมแบบสรุป
ข้อมูลเพิ่มเติมแบบสรุปนะคะ เผื่อเป็นประโยชน์กับเพื่อนๆทุกคน
1.สภาพอากาศเปลี่ยนแปลงทั้งวันทั้งคืน : ช่วงเช้าหนาวใช้ได้ โดยอุณหภูมิประมาณ 10 ต้นๆ แต่มีลมแรง พอช่วงสาย-บ่ายก็อุ่นขึ้น แต่พอเย็นๆก็หนาวอีก ดังนั้น เสื้อหนาว จำเป็นต้องเตรียมไปมากกกก แต่ต้องวางแผนเผื่อร้อนตอนบ่ายๆ
2.ฝุ่นเยอะมาก : ควรเตรียมแว่น หรือผ้าปิดจมูกไปด้วยนะคะ โดยเฉพาะตอนจะขึ้นปากปล่อง
3.หากใครจะไปต้องการไกด์ที่น่ารัก หลังไมค์มาหาเราได้เลย เด่วเราจะส่ง contact ติดต่อให้นะ
4.ที่นี่ไม่มีบินตรง ต้องเปลี่ยนเครื่องสุราบายา หรือ กัวลาลัมเบอร์ (กัวลาลัมเบอร์สนามบินดีงามมาก ของกินของช็อปเพียบ)
5.เรานอนที่ Bromo Permai เป็นโรงแรมบนเขาเลย ราคา 2500/คน/คืน (ห้องนึงนอนได้ 3 คน) แนะนำว่านอนบนเขาไปเลย เพราะว่าใกล้จุดชมวิวกว่า เหนื่อยในการเดินทางน้อยลงเยอะมาก
6.ของกินที่นี่ถูกมาก แต่สำหรับหนูไม่ทานเนื้อวัว ไม่ชอบเครื่องเทศ หนูทานได้น้อยมาก อาจจะต้องเตรียมพวกน้ำพริกจิ๋วๆไปช่วย
7.ค่ารถรับส่งสนามบิน ค่ารถจี๊ป ค่าไกด์ ตกคนละ 5 พันบาท ตลอดทริป
8.กิน เที่ยว ขี่ม้า 2-3 พัน ต่อคน